Non-Farm Employment Change คืออะไร? สำคัญกับการเทรดอย่างไร?

Non-Farm-Employment-

NFP หรือ Non-Farm Employment Change เป็นหนึ่งในตัวเลขที่นักลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกให้ความสำคัญ เนื่องจากสะท้อนถึงจำนวนการจ้างงานใหม่ในสหรัฐฯ ที่ไม่รวมภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของการเติบโตเศรษฐกิจและสภาพตลาดแรงงาน หากตัวเลขออกมาสูง แปลว่าเศรษฐกิจแข็งแรงและมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์มักจะแข็งค่าขึ้น แต่ถ้าต่ำกว่าที่คาด การลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอย่างทองคำมักได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น การจับตาดูรายงานตัวเลขทุกเดือนจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจภาพรวมเศรษฐกิจและตัดสินใจลงทุนได้อย่างแม่นยำ

Non-Farm Employment Change คืออะไร?

Non-Farm Employment Change หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า NFP คือรายงานการเปลี่ยนแปลงของจำนวนการจ้างงานในสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่รวมถึงภาคเกษตรกรรม รายงานนี้จัดทำขึ้นโดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ และเผยแพร่ทุกวันศุกร์แรกของเดือน โดยแสดงจำนวนงานใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นหรือลดลงในช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งครอบคลุมทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ การก่อสร้าง และอื่นๆ ตัวเลขนี้จึงถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่บอกถึงสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ เพราะหากการจ้างงานเพิ่มขึ้นแสดงว่าเศรษฐกิจเติบโต แต่หากลดลงอาจสะท้อนถึงปัญหาหรือการชะลอตัวในระบบเศรษฐกิจ

ทำไม NFP ถึงสำคัญ?

รายงานนี้เป็นเครื่องบ่งชี้ที่ชัดเจนถึงสุขภาพของตลาดแรงงาน หากตัวเลขออกมาสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แปลว่ามีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งบอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเติบโตแข็งแกร่ง ทำให้ความต้องการสินค้าและบริการในตลาดสูงขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์มักแข็งค่าขึ้นตามการคาดการณ์ของนักลงทุน แต่ถ้าตัวเลขต่ำกว่าคาด ก็เป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วง เพราะบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจอาจกำลังชะลอตัว ส่งผลให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง

กระบวนการรายงาน

การรวบรวมข้อมูลจะเริ่มต้นด้วยการสำรวจกลุ่มธุรกิจทั่วสหรัฐฯ ที่ครอบคลุมทั้งภาคอุตสาหกรรม การบริการ การค้า รวมถึงภาครัฐและเอกชน ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจนี้จะถูกประมวลผลและเผยแพร่ในรูปแบบของรายงาน Non-Farm Payrolls ซึ่งประกอบด้วยตัวเลขที่สำคัญ เช่น อัตราการจ้างงาน อัตราการว่างงาน รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมง และจำนวนชั่วโมงการทำงาน โดยทั้งหมดนี้ช่วยให้นักวิเคราะห์เข้าใจถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในแต่ละเดือนอย่างรอบด้าน

ปัจจัยการเปลี่ยน

การเติบโตหรือการหดตัวทางเศรษฐกิจ: การขยายตัวทางเศรษฐกิจมักนำไปสู่ความต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ จ้างพนักงานเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการด้านการผลิตและบริการที่เพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน ในช่วงที่เศรษฐกิจหดตัวหรือถดถอย ธุรกิจต่างๆ อาจลดจำนวนพนักงานลงเพื่อลดต้นทุนเพื่อตอบสนองความต้องการที่ลดลง

วัฏจักรธุรกิจ: การเปลี่ยนแปลง NFP มักได้รับอิทธิพลจากความผันผวนของวงจรธุรกิจ ในช่วงการขยายตัวของวงจร ธุรกิจมีแนวโน้มที่จะขยายการดำเนินงานและจ้างพนักงานเพิ่มเติม ในทางกลับกัน ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยหรือตกต่ำ ธุรกิจต่างๆ อาจดำเนินการเลิกจ้างหรือหยุดการจ้างงานเพื่อรับมือกับความต้องการที่ลดลงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

แนวโน้มอุตสาหกรรม: การเปลี่ยนแปลงการจ้างงานอาจแตกต่างกันอย่างมากในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะภาคส่วน เช่น เทคโนโลยี การดูแลสุขภาพ และบริการระดับมืออาชีพ อาจจะเติบโตแข็งแกร่งขึ้นอันเนื่องมาจากนวัตกรรม แนวโน้มทางประชากรศาสตร์ หรือความต้องการทักษะเฉพาะทางที่เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน อุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การผลิตหรือการก่อสร้าง อาจอ่อนไหวต่อความผันผวนของอุปสงค์สินค้าหรือการเปลี่ยนแปลงในการลงทุนด้านที่อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐาน

Non-Farm-Employment-Change

นโยบายและข้อบังคับของรัฐบาล: นโยบายและข้อบังคับของรัฐบาลอาจส่งผลกระทบต่อการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมด้วย มาตรการจูงใจทางภาษีหรือโครงการการใช้จ่ายของรัฐบาล อาจมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการลงทุนทางธุรกิจและการจ้างงาน นอกจากนี้กฎระเบียบของตลาดแรงงาน กฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำ และนโยบายสถานที่ทำงานอาจส่งผลต่อแนวทางปฏิบัติในการจ้างงานของนายจ้างและความต้องการแรงงาน

ภาวะเศรษฐกิจโลก: อาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางเศรษฐกิจโลก เช่น การค้าระหว่างประเทศ อัตราแลกเปลี่ยน และเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์ในการส่งออกทั่วโลก การหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทาน หรือวิกฤตเศรษฐกิจในประเทศอื่นๆ อาจส่งผลกระทบต่อระดับการจ้างงานในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่มีการเปิดรับตลาดต่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี: ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติสามารถเปลี่ยนความต้องการแรงงานโดยการเพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพในบางอุตสาหกรรมในขณะที่ลดความต้องการแรงงานมนุษย์ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ปัญญาประดิษฐ์อาจนำไปสู่การเปลี่ยนงานในบางภาคส่วน แต่สร้างโอกาสในการทำงานใหม่ในสาขาที่กำลังเติบโต

โดยรวมแล้วการเปลี่ยนแปลง เป็นผลมาจากปัจจัยตัวตึงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี และนโยบายที่ซับซ้อนซึ่งมีอิทธิพลต่อความต้องการแรงงานในภาคที่ไม่ใช่ภาคเกษตรกรรมของเศรษฐกิจ การติดตามการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าเกี่ยวกับสภาวะโดยรวมและการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงาน

ผลกระทบของต่อการลงทุนในตลาดการเงิน

ค่าเงินดอลลาร์ (USD)  เมื่อตัวเลข NFP สูงขึ้น ค่าเงินดอลลาร์มักจะแข็งค่าขึ้นตาม เพราะนักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจมีการเติบโตที่แข็งแกร่ง ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นการดึงดูดให้นักลงทุนหันมาถือดอลลาร์มากขึ้น แต่หาก NFP ต่ำกว่าที่คาดการณ์ จะทำให้ดอลลาร์อ่อนลง เนื่องจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

ราคาทองคำ  ทองคำและดอลลาร์มักจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้าม หาก NFP ออกมาสูงจนทำให้ดอลลาร์แข็งค่า ราคาทองคำมักจะปรับตัวลดลง เพราะนักลงทุนขายทองคำเพื่อถือดอลลาร์แทน ในทางกลับกัน ถ้าตัวเลข NFP ต่ำ ราคาทองคำมักจะปรับตัวสูงขึ้น เพราะนักลงทุนหันมาลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอย่างทองคำ

ตลาดหุ้นและพันธบัตร  หาก NFP แสดงการจ้างงานที่ดีขึ้น ตลาดหุ้นอาจมีการตอบสนองเชิงบวก เพราะคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตดีขึ้น แต่ในบางครั้งตัวเลขที่ดีเกินไปอาจทำให้นักลงทุนกังวลเรื่องการปรับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้เกิดแรงขายในตลาดหุ้นและอาจเพิ่มความสนใจในพันธบัตรแทน

บทส่งท้าย

NFP เป็นข้อมูลที่นักลงทุนทุกคนควรรู้จักและจับตามอง เพราะช่วยให้เข้าใจภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้เป็นอย่างดี สำหรับผู้ที่ลงทุนในค่าเงิน ทองคำ หุ้น หรือพันธบัตร การติดตามตัวเลข NFP อย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดตามการเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจ

ในตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ราคามักจะแปรผันสูงเมื่อมีการประกาศตัวเลขข่าว หากไม่สามารถควบคุมเงินทุนได้ดี อาจทำให้พอร์ตการลงทุนของคุณเสียหายได้ โบรกเกอร์ XM เป็นทางเลือกที่ดี มีโบนัสและโปรโมชั่นที่คุ้มค่า ช่วยให้การรักษาเงินทุนของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การเปิดบัญชี XM ผ่าน Besight ยังมาพร้อมกับโปรแกรมรีเบตเงินคืนอัตโนมัติสำหรับทุกการเทรด และโปรแกรมสะสมแต้ม Loyalty ที่สามารถแลกรับของรางวัลฟรี เช่น iPhone 16 Pro Max 256 GB ซึ่งไม่มีข้อจำกัดในการแลก

Picture of [ADMIN] Sunny
[ADMIN] Sunny

เขียนและเรียบเรียงบทความโดย