หนึ่งในข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญและมีผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลกคือ Average Hourly Earnings หรือแปลเป็นไทยได้ว่า ค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมง ข้อมูลนี้เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญในการประเมินสุขภาพของตลาดแรงงานและเศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ควรติดตามอย่างใกล้ชิด มาดูกันว่าทำไมถึงมีความสำคัญ และมันส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินการลงทุนอย่างไรบ้าง
Average Hourly Earnings คืออะไร?
เป็นตัวชี้วัดที่รายงานการเปลี่ยนแปลงของรายได้เฉลี่ยที่ลูกจ้างในสหรัฐฯ ได้รับต่อชั่วโมง ซึ่งตัวเลขนี้จะบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของค่าจ้างจากเดือนก่อนหน้า ค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมงสะท้อนถึงรายได้ของแรงงานในภาคการผลิตและบริการ โดยไม่มีการรวมส่วนของโบนัสหรือค่าตอบแทนพิเศษเข้าไปในรายงาน
การติดตามตัวเลขนี้จะช่วยให้เราเข้าใจแนวโน้มของตลาดแรงงานว่ามีการจ่ายเงินให้กับแรงงานมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับ การใช้จ่าย ของผู้บริโภคในระบบเศรษฐกิจ หากคนได้รับค่าจ้างมากขึ้น การใช้จ่ายก็มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้เศรษฐกิจเติบโต ในทางกลับกัน หากค่าจ้างเฉลี่ยลดลง แสดงถึงสัญญาณที่อาจบ่งบอกถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ
การวัด: เป็นการวัดค่าจ้างเฉลี่ยที่พนักงานได้รับต่อชั่วโมงการทำงานโดยเปรียบเทียบหนึ่งเดือนกับเดือนก่อนหน้า
ตัวบ่งชี้อัตราเงินเฟ้อค่าจ้าง: การเพิ่มขึ้นของ AHE บ่งชี้ว่าค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจบ่งบอกถึงอัตราเงินเฟ้อของค่าจ้าง ค่าจ้างที่สูงขึ้นอาจนำไปสู่การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น แต่ยังอาจส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อโดยรวมด้วย หากธุรกิจขึ้นราคาเพื่อชดเชยต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น
สุขภาพทางเศรษฐกิจ: รายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงที่เพิ่มขึ้นอาจส่งสัญญาณถึงตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง ซึ่งความต้องการแรงงานอยู่ในระดับสูง ในขณะที่รายได้ที่ซบเซาหรือลดลงอาจบ่งบอกถึงความอ่อนแอทางเศรษฐกิจหรือการเกินดุลของแรงงาน
ผลกระทบต่อนโยบายการเงิน: ธนาคารกลาง เช่น Federal Reserve ติดตาม AHE ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินภาวะเศรษฐกิจเพื่อตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการเงิน
เปิดเผยข้อมูล: สำนักงานสถิติแรงงานในสหรัฐอเมริกา (BLS) เผยแพร่ข้อมูล AHE โดยเป็นส่วนหนึ่งของรายงานสถานการณ์การจ้างงาน หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อรายงานเงินเดือนนอกภาคเกษตร ซึ่งโดยปกติจะจัดขึ้นในวันศุกร์แรกของแต่ละเดือน
ทำไม Average Hourly Earnings ถึงสำคัญ?
การติดตามตัวเลข ค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมง เป็นสิ่งสำคัญมากเพราะเป็นข้อมูลที่บ่งบอกถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของผู้บริโภคโดยตรง สำหรับธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ข้อมูลนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ใช้ในการประเมินภาวะเศรษฐกิจ และมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเกี่ยวกับ อัตราดอกเบี้ย
หากค่าจ้างเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงถึงภาวะเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นจาก ต้นทุนแรงงาน ที่สูงขึ้น ทำให้ Fed อาจต้องใช้มาตรการปรับ อัตราดอกเบี้ย เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ในทางตรงกันข้าม หากค่าจ้างเฉลี่ยลดลง Fed อาจจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยหรือปรับลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินอย่างไร?
ตัวเลขการเปลี่ยนแปลงของ ค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมง จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อตลาดการเงิน โดยเฉพาะในตลาด ค่าเงิน และ ตลาดทองคำ ซึ่ง ตัวเลขเปอร์เซนต์ 0% ถึง 0.5% การเติบโตของค่าจ้างเล็กน้อย: บ่งชี้ว่ารายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งอาจสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่มั่นคงและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเล็กน้อย โดยทั่วไปจะถูกมองว่าเป็นสัญญาณของตลาดแรงงานที่มั่นคง ซึ่งเราสามารถดูรายละเอียดกันได้ ดังนี้
1. ผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD)
ตัวเลข เพิ่มขึ้น เมื่อค่าจ้างเฉลี่ยต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้น มักจะสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานและเศรษฐกิจโดยรวม สิ่งนี้อาจทำให้ Fed ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ การปรับขึ้นดอกเบี้ยมักจะทำให้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น เพราะการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าจะน่าสนใจมากขึ้น
ตัวเลข ลดลง หากค่าจ้างเฉลี่ยลดลง อาจแสดงถึงปัญหาในตลาดแรงงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่ง Fed อาจพิจารณา ชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หรือ ลดดอกเบี้ย ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง เนื่องจากนักลงทุนมักจะหันไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ที่มีผลตอบแทนดีกว่า
2. ผลกระทบต่อราคาทองคำ (Gold)
- ตัวเลข เพิ่มขึ้น: การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างเฉลี่ยอาจกดดันให้ Fed ขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าและกดดันราคาทองคำลง เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปแบบดอกเบี้ย เมื่อนักลงทุนเห็นว่าดอกเบี้ยจากสินทรัพย์อื่นๆ เช่น พันธบัตรสูงขึ้น พวกเขาอาจขายทองคำเพื่อไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
- ตัวเลข ลดลง: หากค่าจ้างเฉลี่ยลดลง ค่าเงินดอลลาร์อาจอ่อนค่าลง ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น เพราะทองคำมักถูกมองว่าเป็น สินทรัพย์ปลอดภัย ที่นักลงทุนเลือกถือครองเมื่อเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนหรือค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า
ทำไมเทรดเดอร์ต้องให้ความสนใจ?
สำหรับเทรดเดอร์ การติดตามตัวเลขเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะหากเทรดในตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงิน ทองคำ หรือสินทรัพย์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของค่าเงินและอัตราดอกเบี้ย
เมื่อค่าจ้างเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงเงินเฟ้อที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งมักจะนำไปสู่การขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้ ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า แต่ราคาทองคำจะถูกกดดัน ในทางกลับกัน หากค่าจ้างเฉลี่ยลดลง ก็อาจส่งสัญญาณว่า Fed จะยังคงดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งจะทำให้ ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และ ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น
บทส่งท้าย
เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ในการประเมินภาวะตลาดแรงงานและภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ตัวเลขนี้มีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐในเรื่อง อัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้ง ค่าเงินดอลลาร์ และ ราคาทองคำ เทรดเดอร์ที่ต้องการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับตัวเลขนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดและทำการตัดสินใจลงทุนที่ถูกต้อง
ไม่ว่าจะเป็นเทรดเดอร์มือใหม่หรือมืออาชีพ การรู้ข้อมูลของ ค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมง จะช่วยให้เราสามารถมองเห็นแนวโน้มเศรษฐกิจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น และวางกลยุทธ์การเทรดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของตลาดในแต่ละช่วงเวลาได้
ตลาดแลกเปลี่ยนสกุลเงิน มักจะมีความผันผวนสูงในช่วงที่มีการประกาศตัวเลขข่าว ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อพอร์ตการลงทุนได้หากไม่มีการจัดการเงินทุนที่ดี โบรกเกอร์ XM เป็นทางเลือกที่น่าเชื่อถือ มีโบนัสและโปรโมชั่นที่คุ้มค่า ช่วยให้การเทรดของคุณปลอดภัยยิ่งขึ้น
การเปิดบัญชีกับ XM ผ่าน Besight ยังมาพร้อมโปรแกรมรีเบตเงินคืนอัตโนมัติทุกครั้งที่เทรด และยังมีโปรแกรมสะสมแต้มเพื่อแลกของรางวัลสุดพิเศษอย่าง iPhone 16 Pro Max 256 GB โดยไม่มีข้อจำกัด